วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558





แบบฝึกหัด บทที่ 5-8


บทที่ 5 การจัดการสารสนเทศ                                                     กลุ่มเรียน 3
รายวิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน               รหัสวิชา 0026008
คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้


1.จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ

ตอบ คือ การวางแผน จัดหา รวบรวม จัดเก็บ รักษา และส่งต่อแพร่กระจายสารสนเทศไปยังผู้ใช้ เพื่อประโยชน์ในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือ ทั้งนี้ เพื่อปรับปรุงพัฒนาสมรรถนะการบริหารงานและการดำเนินงานขององค์กร สร้างนวัตกรรม เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 

2.การจัดการสารสนเทศมีความสําคัญต่อบุคคลและต่อองค์การอย่างไร

ตอบ การจัดการสารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยการจัดทำฐานข้อมูลส่วนบุคคล รวบรวมทั้งข้อมูลการดำรงชีวิต การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพต่างๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน ส่วนต่อองค์การ ผู้บริหารต้องอาศัยสารสนเทศที่เกี่ยวข้องทั้งกับสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การ

3.พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค อะไรบ้าง

ตอบ 2 ยุค เป็นการจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ และ การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์

4.จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวันมา อย่างน้อย 3 ตัวอย่าง
ตอบ  - การรวบรวมข้อมูลในการทำรายงาน
     - ส่งไฟล์รายงานให้เพื่อน
     - บันทึก email


แบบฝึกหัดบทที่ 6 การประยุกต์ใช้สารสนเทศในชีวิตประจำวัน 

รายวิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                    รหัสวิชา 0026 008
คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว


1. การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด?

(1.) เทคโนโลยีสารสนเทศ
 2. เทศโนโลยี
 3. สารสนเทศ
 4. พัฒนาการ

2. เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
 1. ควบคุมเครื่องปรับอากาศ
(2.) ระบบการเรียนการสอนทางไกล
 3. การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
 4. การพยากรณ์อากาศ

3. การฝากถอนเงินผ่านเอทีเอ็ม (ATM) เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
(1.) ระบบอัตโนมัติ
 2. เปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย
 3. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ
 4. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

4. ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
 1. ระบบการโอนถ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
 2. บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต
 3. การติดต่อข้อมูลทางเครือข่าย
(4.) ถูกทุกข้อ

5. เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
 1. การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ 
 2. ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
(3.) การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาสร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ
 4. การนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูล


6. เครื่องมือที่สำคัญในการในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
 1. เทคโนโลยีการสื่อสาร
 2. สารสนเทศ
 3. คอมพิวเตอร์
(4.) ถูกทุกข้อ

7. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
 1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
 2. เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน หรือสอบถามผลสอบได้
 3. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้บุคคลทุกระดับติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
(4.) เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างที่พักอาศัยที่มีคุณภาพ

8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
(1.) เครื่องถ่ายเอกสาร
 2. เครื่องโทรสาร
 3. เครื่องมินิคอมพิวเตอร์
 4. โทรทัศน์ วิทยุ

9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ?
 1. เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานธุรกิจ
 2. พัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล และการสื่อสาร
(3.) ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
 4. จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น

10. ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
 1 ตรวจสอบผลการลงทะเบียน ผลการสอบได้
 2.สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ทั่วโลกได้
 3.ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครู อาจารย์ หรือส่งงานได้ทุกที่
(4.)ถูกทุกข้อ



บทที่ 7 ความปลอดภัยของสารสนเทศ                          กลุ่มที่เรียน  3

รายวิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                 รหัสวิชา 0026 008 

คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้ 


1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Firewall) คือ 
ตอบ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่ายภายในโดยป้องกันผู้บุกรุกที่มาจากเครือข่ายภายนอก

2. จงอธิบายคำศัพท์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm , virus computer, spy ware, adware มาอย่างน้อย 1 โปรแกรม 
ตอบ worm เวอร์มหรือมาโครไวรัส จะแพร่กระจายผ่านเครือข่ายไปยังคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ และแพร่พันธุ์ด้วยการคัดลอก virus computer เป็นไวรัสไวรัสคอมพิวเตอร์

3. ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง 
ตอบ มี3ชนิด
 1. ไวรัสตามวิธีการติดต่อ
 2. ไวรัสตามลักษณะการทำงาน
 3. ไวรัสตามลักษณะแฟ้มที่ติดไวรัส

4. ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ 
 1) ควรติดตั้งซอฟแวร์ป้องกันไวรัสที่เชื่อถือได้ เพราะจะทำให้สามารถดักจับ และจัดการกับไวรัสตัวใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
 2) สแกนไฟล์แนบท้ายของอีเมลทุกฉบับ
 3) อย่าตั้งค่าให้โปรแกรมอีเมลเปิดไฟล์ที่แนบมาโดยอัตโนมัติ
 4) อย่าดาวน์โหลดโปรแกรมจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
 5) ควรสแกนแฟลชไดรฟ์ก่อนใช้งานทุกครั้ง

5. มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตที่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน ได้แก่ 
ตอบ สำกรับแก้ปัญหา“ภาพลามกอนาจาร เนื้อหาสาระที่ไม่เหมาะสม การใช้เว็บไม่เหมาะสมไม่ควร"
“ผู้ใดประสงค์แจกจ่ายแสดง อวดทำ ผลิตแก่ประชาชนหรือทำให้เผยแพร่ซึ่งเอกสาร ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ แถบยันทึกเสียง บันทึกภาพหรือเกี่ยวเนื่องกับสิ่งพิมพ์ดังกล่าว มีโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ” 



แบบฝึกหัดบทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม     กลุ่มที่เรียน 3
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                    รหัสวิชา 0026 008 
คำชี้แจง จงพิจารณากรณีศึกษานี้


1) “นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่ เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเข้าก็เลยนำโปรแกรมนี้ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง” การกระทำอย่างนี้ ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมาย ใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย 
ตอบ นายA ไม่ผิด จริยธรรมและทางกฎหมายเพราะที่ทำนั้นเป็นงานวิจัย
ส่วนนายและนางสาวC ผิดจริยธรรม เพราะ เป็นการเอาโปรแกรมไปแกล้งเพื่อน

2) “นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตำราต่างๆ อีกทั้ง รูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียน ในระดับประถมปลายที่ทำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J” การ กระทำอย่างนี้ ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย

ตอบ ผิดจริยธรรม เป็นการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้ผู้อื่นเข้าใจผิด และเกิดข้อผิดพลาดตามมาอีกมากมาย


สารสนเทศยุคใหม่


บบฝึกหัดบทที่ 1-4

เรื่อง  แนวคิดและแนวโน้มเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศยุคใหม่
รายวิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน      รหัสวิชา 0026 008
ชื่อ-สกุล นางจันทร์สุมา  พูนมาก                          รหัสนิสิต57010911147
จงเติมในช่องว่างว่าข้อใดเป็นข้อมูล หรือสารสนเทศ

 1.ข้อมูล หมายถึง  ข้อมูลดิบหรือข้อเท็จจริงที่ได้จากการรวบรวมซึ่งอาจจะอยู่ในรูป ตัวเลข สัญลักษณ์ รูปภาพ หรือเสียง 

2.ข้อมูลปฐมภูมิ คือ   เป็นข้อมูลที่ได้มาจากการที่ผู้ใช้เป็นผู้เก็บข้อมูลโดยตรง ซึ่งอาจจะเก็บด้วยการสัมภาษณ์หรือสังเกตการณ์ เป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด เนื่องจากยังไม่มีการเปลี่ยนรูป และมีรายละเอียดตามที่ผู้ใช้ต้องการ แต่จะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากยกตัวอย่างประกอบ    วารสาร รายงานการวิจัย รายงานการประชุมมและสัมมนาวิชาการ

3.ข้อมูลทุติยภูมิ คือ  เป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลที่มีผู้เก็บรวบรวมไว้แล้ว เป็นข้อมูลในอดีต และมักจะเป็นข้อมูลที่ได้ผ่านการวิเคราะห์เบื้องต้นมาแล้ว ผู้ใช้นำมาใช้ได้เลย จึงประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย บางครั้งข้อมูลทุติยภูมิจะไม่ตรงกับความต้องการหรือมีรายละเอียดไม่เพียงพอ นอกจากนั้นผู้ใช้จะไม่ทราบถึงข้อผิดพลาดของข้อมูล ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ที่นำมาใช้ สรุปผลการวิจัยผิดพลาดไปด้วยยกตัวอย่างประกอบ   จำนวนประชากรในประเทศไทยระหว่างปี 2550-2557

4.สารสนเทศหมายถึง  ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ สารสนเทศ เกิดจากการนำข้อมูล ผ่านระบบการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความ อย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เช่น ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมหรือสัญญาณระบบต่างๆ การสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบดาวเทียม การจองตั๋วเครื่องบิน

5.จงอธิบายประเภทของสารสนเทศ
    แบ่งระบบสารสนเทศได้เป็น 4 ประเภท  ดังนี้

1. ระบบสารสนเทศสำหรับระดับผู้ปฏิบัติงาน (Operational – level systems)   ช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงานในส่วนปฏิบัติงานพื้นฐานและงานทำรายการต่างๆขององค์กร เช่นใบเสร็จรับเงิน  รายการขาย  การควบคุมวัสดุของหน่วยงาน เป็นต้น  วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยการดำเนินงานประจำแต่ละวัน และควบคุมรายการข้อมูลที่เกิดขึ้น

2. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการ (Knowledge-level systems)  ระบบนี้สนับสนุนผู้ทำงานที่มีความรู้เกี่ยวข้องกับข้อมูล   วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยให้มีการนำความรู้ใหม่มาใช้ และช่วยควบคุมการไหลเวียนของงานเอกสารขององค์กร

3.ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Management - level systems)  เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยในการตรวจสอบ   การควบคุม การตัดสินใจ และการบริหารงานของผู้บริหารระดับกลางขององค์กร

4.ระบบสารสนเทศระดับกลยุทธ์ (Strategic-level system)   เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยการบริหารระดับสูง ช่วยในการสนับสนุนการวางแผนระยะยาว  หลักการของระบบคือต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมภายนอกกับความสามารถภายในที่องค์กรมี เช่นในอีก 5 ปีข้างหน้า องค์กรจะผลิตสินค้าใด


6.ข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆที่อาจเป็นตัวเลขข้อความรูปภาพเสียง คือ ข้อมูล

7.ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล เป็น  สารสนเทศ

8.ส่วนสูงของเพื่อนที่ถามจากเพื่อนแต่ละคน เป็น ข้อมูล

 9.ผลของการลงทะเบียน เป็น  สารสนเทศ

 10.กราฟแสดงจำนวนนิสิตในห้องเรียนวิชาวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวันSectionวันอังคาร เป็น สารสนเทศ



บทที่2  บทบาทสารสนเทศกับสังคม                                                
รายวิชา  การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน รหัสวิชา  0026008

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่าง ๆ ตามหัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ
1.1  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา

        1. http://www.mua.go.th/
        2. http://www.ipst.ac.th/home.asp
        3. http://www.niets.or.th/
1.2  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน
       1. http://www.thunhoon.com/home/  เป็นเว็บวิเคราะห์หุ้น
       2. http://www.pickmeeasy.com/th/hot-topics/exchange.html  เป็นเว็บอัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน
       3. http://www.goldtraders.or.th/gold_day.php เว็บสมาคมค้าทอง
1.3  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน
       1. http://www.thairath.co.th/  เว็บหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
       2. http://www.dailynews.co.th/ เว็บหนังสื่อพิมพ์เดลินิวส์
       3. http://www.komchadluek.net/index.php เว็บหนังสื่อพิมพ์คมชัดลึก
1.4  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม
       1. http://teenet.tei.or.th/DatabaseGIS/amatanakorn.html  เว็บรวบรวมโรงงานต่างๆในอมตะนคร
       2. http://www.industry.go.th/page/index.aspx เว็บของกระทรวงอุตสาหกรรม
       3. http://www.dip.go.th/ เว็บของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
1.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์
       1. http://www.samunpri.com/ เว็บสมุนไพรไทย
       2. http://www.bangkokhospital.com/ เว็บโรงพยาบาลกรุงเทพ
       3. http://health.kapook.com/ เว็บรวบรวมเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ
1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ
       1. http://www.xn--12c4cbf7aots1ayx.com/ เว็บสมัครสอบตำรวจ
       2. http://www.policeadmission.org/Main/FrmPolIndex.aspx เว็บสำนกงานตำรวจ
       3. http://www.rtarf.mi.th/index_new.htmlกองบัญชาการกองทัพไทย
 1.7  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม
       1. http://www.biomedicalblog.com เว็บที่เกี่ยววิศวกรรมชีวเวช
       2. http://www.thaicivil.com/webdir_main.html เว็บเกี่ยวกับวิศกรรมโยธา
       3. http://www.thaiengineering.com โลกวิศวกรรมของคนไทย

1.8  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม
       1. www.thaigreenagro.comชมรมเกษตรปลอดสารพิษ                    
       2. www.moac.go.th  กระทรวงเกษตรฯ       
       3. www.doae.go.th  กรมส่งเสริมการเกษตร
1.9 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่าง ๆ
       1. http://www.pwdsthai.com/index. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ
       2. http://www.braille-cet.in.th/Braille-new/ศูนย์สื่อการศึกษาเพื่อคนพิการ
       3. http://www.mict.go.th/view/1/  เว็บ ท่า สำหรับ คน พิการ
2. มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้าง บอกมาอย่างน้อย 3 อย่าง
           1. https://www.reg.msu.ac.th/registrar/home.asp  กองทะเบียนและประมวนผลมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
           2. https://th-th.facebook.com/people/  งานกองทุน-กยศ-กองกิจการนิสิต-มหาวิทยาลัยมหาสารคาม/
           3. http://www.acad.msu.ac.th/  เว็บไซต์ กองบริการการศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม

3. ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง
          1. https://www.reg.msu.ac.th/registrar/home.asp   ทำขึ้นให้นิสิตลงทะเบียนเรียน ตรวจสอบตารางเรียน ประเมิณอาจารย์
          2. https://th-th.facebook.com/people/  ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกยศของมหาวิทยาลัย

          3. http://www.acad.msu.ac.th/   ใช้ตอนสมัครสอบเข้า และยังใช้ในการติดตามข่าวสาร





แบบฝึกหัด
บทที่ 3 การรู้สารสนเทศ                                                           
รายวิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน รหัสวิชา  0026008

คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดเป็นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของการรู้สารสนเทศ
ก. ความสามารถในการกลั่นกลอง และประเมินค่าสารสนเทศที่หามาได้
ข. ความสามารถในการตัดสินใจใช้สารสนเทศรูปแบบต่างๆ
ค. ความสามารถของบุคคลในการสืบค้นและพัฒนาสารสนเทศ
(ง). ความสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิน และใช้งานสารสนเทศ
2. จากกระบวนการของการรู้สารสนเทศ ทั้ง 5 ประการ ประการไหนสำคัญที่สุด
       ก. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
       ข. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
       (ค). ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ
        ง. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
       (ก.) สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
        ข. สามารถใช้สารสนเทศในการดำเนินชีวิต
        ค. ชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
        ง. ใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาสารสนเทศได้
4.ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ
             ก.  โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น
             ข.  ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
            (ค.)  สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง
             ง.   ช่วยบุคคลเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง
        1. ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ
        2. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ
        3. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
        4. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
        5. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
 ก. 1-2-3-4-5    ข. 2-4-5-3-1    (ค.) 5-4-1-2-3    ง. 4-3-5-1-2




แบบฝึกหัด
บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ                                            
รายวิชา  การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน  รหัสวิชา  0026008

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1   1.       ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้อละ 3 ชนิด

1)  การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล
       - ฮาร์ดดิสก์ ( Hard disks )
       - CD-ROM (Compact disc read only memory
       -  handy drive

      2) การแสดงผล
      - จอภาพ (momiter)
      - เครื่องฉายภาพ (Projecter)
      - เครื่องพิมพ์ (printer)


     3) การประมวลผล
            -ซ๊พียู (CPU)
            -หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว                                
       -หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ 

    4) การสื่อสารและเครือข่าย
       - โทรศัพท์
       - คอมพิวเตอร์
       - ดาวเทียม

 2.       ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความที่สัมพันธ์กัน



…8 ซอฟต์แวร์ประยุกต์
1. ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผลข้อมูล

…6… Information Technology
2. e-Revenue

…1… คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
3. เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วต่อการนำไปใช้

…3…เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
4.มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ Sender Medium และ Decoder

…10…ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการททำงาน
5. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย

…7… ซอฟต์แวร์ระบบ
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

…9… การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดีย ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ

7. โปรแกรมที่ทำหน้าที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์

…5… EDI
8. โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์แวร์ประเภท

…4… การสื่อสารโทรคมนาคม
9. CAI

…2…บริการชำระภาษีออนไลน์
10. ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ


วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ผลไม้รักษาโรค


ผลไม้รักษาโรค
 
การรักษาโดยไม่ใช้ยา หรือที่เรียกว่า “ธรรมชาติบำบัด” ในปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการดื่มน้ำผักผลไม้สดที่กลายเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการธรรมชาติบำบัด ไม่ว่าจะเพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย โรคที่รักษายาก หรือโรคเรื้อรัง น้ำผักผลไม้สดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอีกด้วย เนื่องจากน้ำผักผลไม้อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพ และช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
วิธีการทำน้ำผักผลไม้ คือ การทำให้น้ำและกากแยกออกจากกัน ซึ่งเราเรียกว่าการคั้น ประโยชน์ที่ได้จากการคั้นก็คือ กากในผกผลไม้ที่ย่อยไม่ได้จะถูกแยกออกไป เหลือเพียงแต่น้ำที่มีแต่สารอาหารล้วน ๆ จึงมีความเข้มข้นกว่าการรับประทานสดด้วยวิธีปกติ เช่น เมื่อเรารับประทานแครอทแบบสด ๆ ร่างกายของเราจะดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้เพียง 1% ส่วนที่เหลืออีก 99% จะจับอยู่กับกากใย แต่ถ้าเป็นการคั้นน้ำแครอท กากใยเหล่านั้นจะถูกแยกออกไป คุณจึงได้รับเบต้าแคโรทีนเกือบ 100% คุณจึงมั่นใจได้ว่าการคั้นน้ำผักผลไม้ดื่มทุกวัน ร่างกายของคุณจะได้รับวิตามิน เกลือแร่ และเอนไซม์เต็ม ๆ

น้ำผลไม้

น้ําผลไม้เพื่อสุขภาพ คือ ของเหลวที่อยู่ในเนื้อเยื่อของผลไม้ตามธรรมชาติ น้ำผลไม้จะได้มาจากการนำผลไม้ไปคั้นหรือปั่นผลไม้เหล่านั้นโดยไม่ใช้ความร้อนหรือตัวทำละลาย ซึ่งน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่วางขายหลายยี่ห้อจะถูกกรองเอากากใยอาหารออก แต่น้ำผลไม้ที่มีเนื้อก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยม โดยอาจขายในรูปแบบเข้มข้น ซึ่งจำเป็นต้องเติมน้ำเพื่อลดความเข้มข้นจนกระทั้งอยู่ในสถานะปกติ โดยน้ำผลไม้แบบเข้มข้นมักจะมีรสชาติที่ต่างจากน้ำผลไม้คั้นสดอย่างชัดเจน
  • น้ำกล้วย – กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งล้วนแต่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
น้ำกล้วย
  • น้ำกีวี่ – กีวี่อุดมไปด้วยวิตามินซี, คลอโรฟิลล์, ไฟโตเคมิคอล (Phytochemical), และแอคทินิดิน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี และช่วยลดความดันโลหิต
น้ำกีวี่
  • น้ำเกรปฟรุต – น้ำผลไม้รสเปรี้ยวที่มีคุณสมบุติช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น การดื่มน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนมื้ออาหารทุกมือ จะช่วยทำให้น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน โดยที่ไม่ต้องลดอาหารหรือไดเอ็ทเลย
น้ำเกรปฟรุต
  • น้ำแครนเบอร์รี่ – น้ำผลไม้ชนิดนี้จะมีวิตามินซีสูง สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และยังพบว่าน้ำแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้ออีโคไลที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้อีกด้วย
น้ำแครนเบอร์รี่
  • น้ำแตงโม – แตงโมมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา และมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ปากเป็นแผล รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้สบายท้อง ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยขับปัสสาวะ
น้ำตำลึง
  • น้ำแตงชนิดต่าง ๆ (แคนตาลูป เมล่อน แตงญี่ปุ่น) – จัดเป็นน้ำผลไม้ล้างพิษในร่างกาย มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ มีคุณสมบัติที่มีเนื้อฉ่ำน้ำ จึงเหมาะที่จะรับประทานในยามที่ร่างกายสูญเสียน้ำ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้อีกด้วย

น้ำแคนตาลูป  น้ำเมล่อน
  • น้ำเชอร์รี่ – เชอร์รี่มีวิตามินซีสูงมาก จึงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอวัย ดูแลความงาม และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
น้ำเชอร์รี่
  • น้ำฝรั่ง – ฝรั่ง มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยลดสารพิษในร่างกาย ช่วยละระดับไขมันในเลือด ช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดอุดตัน อีกทั้งยังช่วยชะลอการลุกลามของเซลล์มะเร็ง ทำให้แผลหายเร็ว กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันหวัดได้อีกด้วย
น้ำฝรั่ง
  • น้ำบลูเบอร์รี่ – เป็นผลไม้ที่เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี จึงช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี และยังมีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ
น้ำบลูเบอร์รี่
  • น้ำทับทิม – ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่แทบจะครบทุกชนิด จึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง
น้ำทับทิม
  • น้ำลูกแพร์ – อีกหนึ่งน้ำผลไม้ที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ในปริมาณที่สูง ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายแทบทั้งสิ้น
น้ำลูกแพร์
  • น้ำมะขาม – มะขามมีวิตามินที่ช่วยบำรุงสายตา มีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูก นอกจากนี้มะขามยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ช่วยขับเสมหะ เป็นยาระบายท้อง จึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดอาการของโรคโลหิตจางได้อีกด้วย
น้ำมะขาม
  • น้ำมะเฟือง – มะเฟืองมีวิตามินที่ช่วยบำรุงสายตา มีวิตามินซี ช่วยชะลอวัย ป้องกันอันมูลอิสระ ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมเล็กน้อย สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงได้ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ช่วยควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย มีฤทธิ์กล่อมประสาท ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยทำให้นอนหลีบได้ง่ายขึ้น ช่วยแก้ร้อนใน ดับกระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
น้ำมะเฟือง
  • น้ำมะม่วง – มะม่วง มีวิตามินเอและวิตามินซีสูงมาก ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ นอกจากนี้มะม่วงยังมีฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุเหล็กเล็กน้อย นอกจากนี้ยังช่วยทำความสะอาดโลหิตอันจะทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังช่วยบำรุงไตได้อีกด้วย
น้ำมะม่วง
  • น้ำมะนาว – มะนาวมีวิตามินสูง ช่วยลดความเสื่อมวัยของร่างกาย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยนำโปรตีนเข้าไปใช้งานในเซลล์ ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงสายตา ช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตาแดง เหงือกบวม แก้ลิ้นเป็นฝ้า แก้เมาเหล้า แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยขจัดคราบบุหรี่
น้ำมะนาว
  • น้ำมะละกอ – มีประโยชน์ช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น และยังเชื่อกันว่ามะละกอสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย
น้ำมะละกอ
  • น้ำเลมอน – การดื่มน้ำเลมอนคั้นสด 1 แก้ว จะช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้ำดีได้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติตลอดทั้งวัน และยังพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ดื่มน้ำเลมอนเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดขนาดก้อนนิ่วในไตได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ละลายก้อนนิ่วในถุงน้ำดีและไต แล้วขับออกมาทางปัสสาวะ ช่วยทำให้อัตราของกรดฟอสฟอริกในปัสสาวะลดจาก 1% เหลือ 0.13% ซึ่งเป็นผลดีกับร่างกาย รวมทั้งการช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย
น้ำเลม่อน
  • น้ำราสเบอร์รี่ – มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ งช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน
น้ำราสเบอร์รี่
  • น้ำส้ม – ส้มวิตามินในปริมาณมาก อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดในร่างกายและอัตราการดูดซึมสารอาหาร ช่วยบำรุงสายตา มีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อโรค ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันโรคโลหิตจาง นอกจากนั้นยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยในการบำรุงกระดูกและฟัน มีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยลดระดับไขมันร้าย (LDL) และช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย จึงส่งผลต่อการลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายลดต่ำลง และยังพบว่าน้ำส้มคั้นสดมีส่วนช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ และช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนของโลหิตและหลอดเลือด
น้ำส้ม
  • น้ำสับปะรด – สับปะรดมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง จึงช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์หรือรำมะนาด มีสรรพคุณทางยาช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการแผลร้อนในปาก ลดอาการอักเสบบวม ช่วยซ้อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอในร่างกาย ช่วยบำรุงข้อต่อในอวัยวะต่าง ๆ ช่วยบรรเทาอาการของโรคไซนัสอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการบวมอักเสบของข้อต่อที่หัวไหล่ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้อาการไม่เรื้อรัง
น้ำสับปะรด
  • น้ำสตรอเบอร์รี่ – น้ำผลไม้ที่มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ และยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้อีกด้วย
น้ำสตรอเบอร์รี่
  • น้ำองุ่น – น้ำผลไม้สีม่วงสามารถช่วยป้องกันไม่เซลล์สมองเสื่อมและช่วยในเรื่องความจำได้ดี อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ช่วยเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย และบำรุงโลหิต
น้ำองุ่น
  • น้ำองุ่นคอนคอร์ด (Concord Grape Juice) – องุ่นพันธุ์นี้มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงหัวใจ และช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ดี
น้ำองุ่นคอนคอร์ด
  • น้ำอะโวคาโด – อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ยับยั้งการก่อมะเร็ง เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย อีกทั้งยังมีวิตามินอีสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยงามชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย
น้ำอะโวคาโด
  • น้ำแอปริคอต – ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี มีประโยชน์ในด้านการบำรุงผิวพรรณให้สดชื่นและมีสุขภาพดี และยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย
น้ำแอปริคอต

ผลไม้รักษาโรค
ผลไม้ที่ใช้เป็นยา
1. กล้วย  - มีคาร์โบไฮเดรต โปแตสเซียม และวิตามินเอสูง
          - ทำให้ปอดชุ่มชื้น แก้กระหาย ถอนพิษ ลดความดันโลหิตสูง
          - กินวันละ 1-2 ผล ในตอนเช้า ขณะท้องว่างเป็นประจำทุกวัน จะช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร เลือดออก ท้องผูก
          - กินวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1-2ผล จะแก้ไข้ตัวร้อน กระหายน้ำ กระสับกระส่าย คอแห้ง และเจ็บคอ
          - เด็กที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารเช่น ลำไส้อักเสบ ควรให้กินกล้วยเพราะเป็นอาหารย่อยง่าย
          - มือเท่าแตก เอากล้วยหอมที่สุกงอมเต็มที่ ทาที่มือและเท้าทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง จึงล้างออก ทำก่อนนอนติดต่อกันหลายๆครั้ง
            มือและเท้าที่แตกจะค่อยๆหายไป

2. แตงโม
     น้ำแตงโม - อมน้ำแตงโมบ่อยๆแก้แผลในปากได้
 - ดื่มน้ำแตงโมคั้นจะช่วยบรรเทาอาการลิ้นแห้ง คอแห้ง วิงเวียน นอนไม่หลับ
     เปลือกแตงโม  - แก้ไตอักเสบ บวมน้ำ ใช้เปลือกแตงโมตากแห้งหนัก 40 กรัม ร่วมกับหญ้าคาสด หนัก 60 กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 3 ครั้งใน1วัน
                  - แก้เบาหวาน ใช้เปลือกแตงโมและเปลือกฟักเขียวอย่างละ 30 กรัม ต้มน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง 
                  - ริมฝีปากแตก เจ็บคอ เอาเปลือกแตงโมแห้ง 30กรัม ต้มน้ำดื่มติดต่อกันหลายๆวัน
     - ปวดฟัน เอาเปลือกแตงโมตากแห้งจำนวนพอเหมาะ บดผสมกับเกล็ดการบูร ทาบริเวณฟันที่ปวด
     - ปวดเอว ยืดหดตัวไม่ได้ เอาเปลือกแตงโมเขียวๆ ที่ตากแห้งในร่มบดผสมเกลือกิน
    ข้อควรระวัง - หากกินแตงโมมากเกินไป อาจทำให้อาหารไม่ย่อยหรือท้องเสียได้
  - ผู้ที่มีอาการม้ามพร่อง คือมีอาการร้อนใน มีไข้สูง ปวดหัว ท้องผูก คอแห้ง กระหายน้ำ ตัวร้อน เหงื่อออก ตาแดง ปากเหม็น ลิ้นแห้ง
                        มีฝ้าสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้มและน้อย ห้ามกินแตงโม
3. มะละกอ 
    มะละกอดิบ
   - ตากแห้ง บดเป็นผง 9 กรัม กินขณะท้องว่าง ตอนเช้าแก้พยาธิตัวตืด พยาธิตัวกลม
   - ตากแห้งบดเป็นผงละเอียด ใช้โรยบริเวณผิวหนังที่อักเสบ เป็นผื่นแดง ตุ่มพุพองและแสบคัน วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยรักษาให้หายได้
   ใบ ใช้พอกแผลมีหนอง กลาก เกลื้อน และแก้บวม ปวด เจ็บ
   ยาง ใช้ย่อยเนื้อ ทำให้เนื้ออ่อนนุ่ม ช่วยย่อยอาหาร ย่อยคราบเลือดและหนองที่แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง ขับพยาธิและขับประจำเดือน ทากันหูด ตาปลา ติ่งและ
       จุดด่างดำ
  เมล็ด ขับพยาธิ ขับประจำเดือน ขับลม ใช้ทาแก้กลากเกลื้อนและโรคผิวหนัง
  ราก ขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน
  ดอก ใช้ชงน้ำดื่ม ขับประจำเดือน แก้ไข้ ดีซ่าน ต้มใส่น้ำตาลกินแก้โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจผิดปกติ
4. ลำไย
   - มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงประสาท และช่วยย่อยได้เป็นอย่างดี
   - ผู้มีร่างกายอ่อนแอ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งฟื้นจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือหลังคลอดบุตร กินลำไยกับต้มจืดจะทำให้ร่างกายแข็งแรง
   - ผู้มีอาการประสาทอ่อนๆ ประสาทเครียด ขี้ลืม นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เหงื่อออกมา เอาเนื้อลำไยแห้งต้มกับน้ำตาลทรายขาว แล้วเคี่ยวจนเหนียว
 ข้น กินวันละ 2 ครั้ง จะแก้อาการดังกล่าวได้
5. ส้ม
   - ทำให้ปอดชุ่มชื้น แก้ไอ แก้กระหายน้ำ แก้ฤทธิ์สุรา ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก
   - มีผลต่อการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน โรคกระเพาะเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย
   - กินส้มกับกล้วยหอม วันละ 3 ผล เป็นประจำทุกวัน และกินผักสดให้มาก จะช่วยลดความดันโลหิตสูง
   - กินส้มครั้งแรก 3-4 ผล หลังจากนั้น 1-2 ผล วันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการร้อนในกระหายน้ำ คอแห้ง และปัสสาวะเหลือง
   - ไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก ใช้ส้ม 1 ผล  ไม่ต้องปอกเปลือก น้ำตาลกรวด 15 กรัม ขิงสด 2 แว่น ที่หั่นบางๆแล้ว เอาไปตุ๋นนาน 1 ชั่วโมง กินทั้งเปลือก
อาการดังกล่าวจะลดน้อยและค่อยหายไป
   - เมาค้าง ดื่มน้ำส้มคั้น 1 แก้ว จะช่วยให้หายเมาค้างได้
   - ใช้เปลือกส้มแช่ในน้ำที่อาบหรือล้างหน้า แล้วใช้น้ำนั้นอาบหรือล้างหน้าเป็นประจำ
   - หลอดลมอักเสบ เปลือกส้มตากแห้ง หนัก 30 กรัม กับกระเทียม 15 กรัม นึ่งให้สุกแล้วกิน จะรู้สึกดีขึ้น
6.แอปเปิ้ล
   - ทำให้ปอดชุ่มชื้น ช่วยย่อยสารอาหาร ลดกรดในกระเพาะ บำรุงกระเพาะอาหาร บำรุงกำลัง ละลายเสมหะ ขับร้อน
   - มีคุณค่าในทางเป็นยา ดังภาษิตที่ว่า กินแอปเปิ้ลวันละผลไม่ต้องไปหาหมอ
   - เนื้อแอปเปิ้ลที่เป็นเส้นใยจะทำหน้าที่ถูขัดฟันได้เป็นอย่างดี การเคี้ยวจะทำให้ฟันและเหงือกเรียบ และยังสามารถที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรียในปากได้ด้วย
   - ผู้ที่กินแอปเปิ้ลเป็นประจำ วันละผล จะเป็นโรคปวดศรีษะน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน
   - กินแอปเปิ้ลวันละผลหลังอาหารหรือก่อนนอน จะช่วยให้หายจากเลือดออกตามไรฟัน
   - เอาเปลือกแอปเปิ้ลสดมาต้มน้ำดื่มกิน แก้อาการคลื่นไส้ และมีเสมหะได้ผลชะงัก            

ผลไม้ป้องกันมะเร็ง
มะเร็งเป็นโรคอันตรายที่ก่อให้เกิดปัญหาแก่วงการสาธารณสุขทั่วโลก สถิติทั่วโลกในปี 2012 พบว่า จากจำนวนประชากร 7 พันกว่าล้านคน พบอัตราการตายจากโรคมะเร็งสูงถึง 8.2 ล้านคนทั่วโลก โดยผู้ชายพบเป็นมะเร็งปอดมากที่สุดและผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมมากที่สุด และมีผู้ป่วยมะเร็งใหม่เพิ่มขึ้น 14.1 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยในปีเดียวกัน จากจำนวนประชากรเกือบ 67 ล้านคน พบผู้เสียชีวิตด้วยมะเร็งสูงถึง 63,272 คน โดยพบมะเร็งปอดและมะเร็งเต้านมในเพศชายและเพสหญิงสูงสุดตามลำดับ 

สาเหตุของมะเร็งนั้นมาจากอาหารและการดำเนินชีวิตสูงถึง 70% ปัจจัยจากพันธุกรรมเพียง 10% นอกจากนั้นก็มาจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ไวรัส และมลพิษต่างๆ เป็นต้น จากปัจจัยและสาเหตุดังกล่าว การทานอาหารที่ถูกต้องจึงเป็นวิธีการหนึ่งในการป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ซึ่งความเป็นจริงแล้วอาจช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อีกหลายโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน และโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น 

สารอาหารที่ดีในแต่ละวัน ควรประกอบด้วย สารอาหารหลัก (Macronutrient) สารอาหารรอง (Micronutrient) และเส้นใยอาหาร (Fiber) 

สารอาหารหลัก ก็ได้แก่ อาหารพวกคาร์โบไฮเดรท ไขมัน และโปรตีน 

สารอาหารรอง ก็ได้แก่ สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมีคอล และโพโลแซคคาไรด์ 

เส้นใยอาหาร นั้นมีทั้งชนิดละลายน้ำ และไม่ละลายน้ำ 

“การทานพืชผักผลไม้ที่ดีที่สุด ควรทานให้มีความแตกต่างกันให้มากที่สุด โดยให้มีความแตกต่างไม่น้อยกว่า 10 ชนิด ในทุกวัน หรืออย่างน้อยที่สุดให้แตกต่างกันไม่น้อยกว่า 10 ชนิด ในหนึ่งสัปดาห์” 

สารต้านอนุมูลอิสระจากพืช ช่วยลดการเป็นโรคหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ชะลอความแก่ ลดอาการอักเสบ และลดการทำลายเซลล์ 

สารไฟโตเคมิคอลในพืช ช่วยป้องกันโรคได้มากมาย เสริมความสมบูรณ์และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ยับยั้งและชะลอความรุนแรงของมะเร็งในทุกระยะ 

สารพวกใยอาหารจากพืช ช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยพื้นตัวจากมะเร็ง บรรเทาผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ใช้รักษามะเร็งหรือใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ ได้อย่างปลอดภัย มีรายงานพบว่าการทานมังสวิรัติ สามารถลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากมะเร็งลงถึง 39% 

สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แคโรทีน พบในพืชที่มีสีต่างๆ ลูเทอีน พบในพืชใบเขียวเช่น ปวยเล้งและคะน้า ไลโคปีน พบในมะเขือเทศ ฟักข้าว แตงโม ฝรั่ง องุ่นแดง วิตามินเอ จากมันเทศ แครอท ฟักข้าว วิตามินซี จากพืชตระกูลส้ม บล็อกโคลี พริกไทยสด วิตามินอี จากมะม่วง ผักใบ เขียวเข้ม น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น ในเมล็ดองุ่นมีสาร OPG ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก
    สารไฟโตเคมิคอล มี 4 กลุ่มใหญ่
  1. กลุ่มอินโดล (Indole) พบในดอกกะหล่ำ บล็อกโคลี
  2. ไอโซไทโอไซยาเนต (Isothiocyanate) จากดอกกะหล่ำ คะน้า
  3. ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) จากหัวหอม พืชตระกูลส้ม ผลเบอร์รี่
  4. ไอโซฟลาโวน (Isoflavone) พบมากใน ถั่วเหลือง ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เจนิสติน (Genistine) ซึ่งสามารถยับยั้งมะเร็ง นอกจากนี้สารตัวนี้สามารถยับยั้งโรคหัวใจได้ 80% มะเร็งเต้านม 26% สมองขาดเลือด 41% และหัวใจวาย 29%
“ดังนั้นเพื่อประโยชน์ของร่างกายในการป้องกันมะเร็งและโรคอื่นๆ ควรทานผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆ ซึ่งมี 6 สีหลัก ให้มากที่สุด และครบในหนึ่งสัปดาห์” 

โดยพืชสีแดง มีสารไลโคปีน และแอนโทไซยานินอยู่สูง 

ผักผลไม้สีม่วง มีสารพวก มีสารแอนโทไซยานิน และฟลาโวนอยด์ 

ผักผลไม้สีน้ำเงิน มีสารพวก ฟีโนลิก และแอนโทไซยานิน 

ผักผลไม้สีเขียว มีสารพวก ลูทีน และคลอโรฟิลล์ 

ผักผลไม้สีเหลือง มีสารพวก ลูทีน และวิตามินซี 

ผักผลไม้สีส้ม มีสารพวก คาร์โรทีนอยด์ และฟลาโวนอยด์
    อาหารประเภทเส้นใย มีองค์ประกอบหลักดังนี้
  • เส้นใยที่ละลายน้ำ เช่น อินนูลีน เพคตีน
  • เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ เช่น เบตากลูแคนส์ เซลลูโลส ลิกนิน
การทานอาหารที่มีเส้นใย จะลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยให้อิ่มท้องและลดน้ำหนักตัว ทำให้มีชีวิตที่ยืนยาว หน่วยงานทางอาหารและโภชนาการของสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า ควรทานอาหารที่มีเส้นใยอย่างน้อย 20-35 กรัม ในหนึ่งวัน เพื่อสุขภาพที่ดี 

นอกจากผักและผลไม้ตามที่แนะนำข้างต้นแล้ว การทานอาหารที่มีเครื่องเทศสูง จะลดการเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง น้ำมันหอมระเหยจากกานพลู จากตะไคร้ สามารถป้องกันและยับยั้งเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี ขมิ้น ไพล และพริก สามารถยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด 

สุดท้ายเพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์และห่างไกลจากโรคมะเร็งและโรคต่างๆ ควรรับประทานเห็ดเช่น เห็ดหอม (ชิทาเก, Shitake) เห็ดไมทาเก (Maitake) เป็นต้น ซึ่งเห็ดเหล่านี้สามารถยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และหากไม่เป็นการรบกวนเงินในกระเป๋ามากนัก การทานโสม ซึ่งมีสาระสำคัญหลายชนิด เช่น จินเซนโนไซด์ (Ginsenoside) สามารถป้องกันเซลล์มะเร็งตับ ป้องกันการเกิดมะเร็ง ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และโสมยังมีสารพวกกากใยอาหารที่สูงด้วย 

9 พืชผักมหัศจรรย์ รักษาโรคอย่างน่าทึ่ง

 ผักเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอยู่มากมาย และไม่ได้ให้แค่คุณค่าเหล่านั้น แต่ยังช่วยรักษาโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางทียาที่หมอให้ ยังไม่อาจสู้ทานพืชผักเหล่านี้เลย ข้อมูลจากเว็บไซต์ emaginfo จะบอกให้เรารู้ว่า มีผักอะไรที่ช่วยรักษาโรคได้อย่างน่ามหัศจรรย์บ้าง 
9 พืชผักมหัศจรรย์ 

 ขี้เหล็ก
 
          สำหรับคนสมัยใหม่ อาจจะไม่ชอบทานสักเท่าไรนัก แต่ถ้าเป็นคนสมัยก่อน รุ่นคุณพ่อคุณแม่เราขึ้นไปแล้ว บอกเลยว่าอาหารที่ทำด้วยผักขี้เหล็กจัดเป็นอาหารรสเลิศถูกปากมากเลยทีเดียว และนอกจากใช้ประกอบอาหารแล้ว ใบขี้เหล็กสามารถรับประทานเป็นยาชั้นดี เพราะใบขี้เหล็กมีทั้งวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน

          สรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็กมีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาททำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกายให้กระชุ่มกระชวยได้
9 พืชผักมหัศจรรย์

 หัวปลี

          หัวปลี ที่เป็นส่วนดอกของต้นกล้วยที่หลายคนไม่ชอบทาน หารู้ไม่ว่าใบหัวปลีนั้นมีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือดได้ รวมถึงยังสามารถทานแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ได้เป็นอย่างดี
9 พืชผักมหัศจรรย์

 มะระขี้นก

          มะระขี้นก เป็นผักพื้นบ้านของไทย ที่คนไทยนิยมนำยอดอ่อนและผลอ่อนมาปรุงเป็นอาหารโดยนำมาลวกเป็นผักจิ้ม แต่หลายคนก็ไม่ชอบทานนัก เพราะว่าขม มีผิวขรุขระ แต่ว่ามะระขี้นกนี้ เป็นยาชนะเบาหวานชั้นยอดเลยนะ เพราะมะระขี้นกนี้ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด อันเป็นสาเหตุของเบาหวาน และสามารถชะลอการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้

          รูปแบบวิธีทานที่ให้ผลลดน้ำตาลในเลือดก็ไม่ซับซ้อน คือสามารถใช้ได้ทั้งน้ำคั้น ชงเป็นชา หรือกินในรูปแบบของแคปซูล ผงแห้งก็ได้
9 พืชผักมหัศจรรย์

 ผักตำลึง

          ตำลึงเป็นผักที่นิยมนำยอดมาลวกหรือนึ่ง เป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือนำยอดอ่อน ใบอ่อนมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย คำลึงจัดว่ามีสรพพคุณทางยาที่เยอะมาก อย่างผลอ่อนที่ก้านดอกเริ่มจะหลุดกินสดได้กรอบอร่อย ไม่ขม เป็นยาบำรุงสุขภาพ รักษาปากเป็นแผลได้

          หลายคนใช้ตำลึงในการรักษาโรคผิวหนังพวกผื่นแพ้ ตำแย หมามุ่ย หนอนคัน บุ้ง หอยคัน มดคันไป ผื่นคันจากน้ำเสีย ผื่นคันจากละอองข้าว ผื่นคันชนิดที่ไม่รู้สาเหตุ เริม งูสวัด สุกใส หิด สิว ฝีหนอง เป็นต้น

          บางคนก็ทานตำลึง เพื่อระบายท้อง ลดการอึดอัดท้องหลังกินอาหารเนื่องจากมีสารช่วยย่อยแป้ง และช่วยแก้ร้อนใน เป็นต้น

          และที่สำคัญคือตำลึงเป็นยาพื้นบ้านใช้รักษาเบาหวาน ทั้งราก เถา ใบ ใช้ได้หมด มีสูตรตำรับหลากหลาย และในตำราอายุรเวทก็มีการใช้เป็นยารักษาเบาหวานมานานนับพันปี ชาวเบงกอลในอินเดียใช้ตำลึงเป็นยาประจำวันสำหรับแก้โรคเบาหวาน
9 พืชผักมหัศจรรย์

 ผักเชียงดา

          ผักเชียงดา เป็นพืชผักไม้เลื้อยทางภาคเหนือ เถาสีเขียว ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวเหมือนน้ำนม ใบ เดี่ยว รูปกลมรี ท้องใบเขียวแก่กว่าหลังใบ ใบออกตรงข้อเป็นคู่ ๆ

          ยอดอ่อนและใบอ่อนของผักเชียงดา นำมากินเป็นผัก มีรสขมอ่อน ๆ และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และยังเป็นผักที่หมอยาพื้นบ้านใช้เป็นผักเพิ่มกำลังในการทำงานหนักและใช้เป็นยารักษาเบาหวาน

          นอกจากนี้ผักเชียงดาสามารถนำไปใช้ลดน้ำหนัก เพราะว่าผักเชียงดาช่วยให้มีการนำน้ำตาลไปเผาผลาญมากกว่าการนำไปสร้างเป็นไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และพบมีรายงานการศึกษาว่าผักเชียงดาสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง
9 พืชผักมหัศจรรย์


 แครอท

          นับเป็นผักที่ให้เบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งสารที่พบในแครอทนี้จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย มีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อ ซึ่งจะออกฤทธิ์ในการรักษาไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ปอดอักเสบ ลดการอักเสบและบวมได้ ถ้าใช้ทาผิวภายนอกช่วยลดอาการแสบร้อนของผิวเนื่องจากโดนแดดเผาไหม้ ลดฝ้าและรอยด่างดำลงได้

          นอกจากนี้การทานแครอทยังช่วยป้องกันลดมะเร็งปอด มะเร็งมดลูก กระเพาะอาหารและเต้านม ช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะพักฟื้น ลดความอ่อนเพลียเหนื่อยง่าย รักษาโรคลำไส้อักเสบ ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาว บรรเทาอาการข้ออักเสบ ช่วยล้างพิษในตับ บำรุงสายตา แก้ตาฝ้าฟาง ตาบอดกลางคืน ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยย่อยอาหาร ขับพยาธิไส้เดือน บำรุงผิว ชะลอความชราของผิวพรรณได้ดีด้วย
9 พืชผักมหัศจรรย์

 ถั่วฝักยาว

          รู้หรือไม่ว่าผักที่มีวิตามีนซีสูงที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ที่จะมีผลช่วยให้เลือดดี ผิวพรรณสวย

          ถั่วฝักยาวมีกากใยอาหารจำนวนมาก ซึ่งกากใยชนิดนี้จะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะ ได้สารจำพวกเจลลาตินเคลือบที่กระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วอิ่มนาน สารชนิดนี้จะช่วยลดคอเลสเตอรอลได้เพราะว่าจะไปจับกับกรดน้ำดี เมื่อน้ำดีไม่พอใช้ในร่างกายก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งการใช้น้ำดีต้องใช้คอเลสเตอรอลเป็นวัตถุดิบ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลลงได้ ถ้านำถั่วฝักยาวไปต้มเอาน้ำดื่มจะช่วยรักษาบำรุงไต
9 พืชผักมหัศจรรย์

 กะหล่ำปลี

          เป็นผักที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถป้องกันรักษามะเร็งได้หลายชนิด มีวิตามินซีสูง มีสารอาหารกลูตามีนช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อบุผนังกระเพาะได้รวดเร็ว ทำให้แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้หายได้เร็ว จึงใช้เป็นอาหารในการรักษาโรคกระเพาะและป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ดี

          อีกทั้งกะหล่ำปลียังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิ คุ้มกันในร่างกาย ช่วยล้างพิษในตับ ช่วยให้ระบบน้ำดีทำงานได้ปกติ ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยใช้น้ำคั้นหรือกินสด (แต่ปริมาณในแต่ละวันไม่มาก) ใช้ใบสดประคบเต้านมแม่ลูกอ่อนช่วยลดความปวดจากการคัดเต้านมลงได้
9 พืชผักมหัศจรรย์

 ผักกาดขาว

          
          ถือเป็นเจ้าแห่งเส้นใยและโฟเลท ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีบทบาทในการควบคุมความเป็นปกติของชีวิตทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา นั่นคือการสร้างระบบประสาทและ DNA

          อีกทั้งเส้นใยของผักกาดขาวช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอุจจาระแข็ง เนื่องจากเส้นใยไม่จับกันแน่นและสามารถถนอมน้ำไว้ จึงทำให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ

          ไม่เพียงแค่นี้ เพราะผักกาดนั้นมีรสหวานไม่ร้อนไม่เย็น ช่วยลดอาการอึดอัดบริเวณหน้าอก ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียด ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ลดการเต้นของหัวใจ ช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการทำงานของไต

15 ผลไม้ต้านมะเร็ง โรคร้ายที่ผลไม้เอาอยู่

 ผลไม้ต้านมะเร็ง เชื่อไหมคะว่า ผลไม้หลายชนิดที่เราคุ้นลิ้นกันมาตั้งแต่เด็ก สามารถกินเป็นยาป้องกันมะเร็งได้อีกทางหนึ่งด้วย ส่วนจะมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันเลย
            
          โรคมะเร็งเป็นเนื้อร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์มานักต่อนัก แถมยังเป็นเชื้อร้ายที่ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ อย่างรวดเร็วอีกต่างหาก แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น อาหารและปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างในชีวิตเราก็เป็นสารก่อมะเร็งอีกเพียบเลยนะคะ ซึ่งก็หมายความว่า จริง ๆ แล้วเราดำเนินชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับโรคมะเร็งเหลือเกิน ฉะนั้นเมื่อมีวิธีไหนสามารถป้องกัน และต้านเชื้อมะเร็งได้ เราทุกคนคงยินดีและเต็มใจปฏิบัติตามอย่างไม่เกี่ยงงอนแน่ ๆ ซึ่งในวันนี้เราก็มีข่าวดีมาบอกต่อ เพราะนอกจากยา และนวัตกรรมทางการแพทย์อื่น ๆ แล้ว ผลไม้ 15 ชนิดต่อไปนี้ก็สามารถต้านมะเร็ง และป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งให้เราได้อีกทางหนึ่งด้วย
 


1. ทับทิม
            
          ทับทิมไม่ได้มีแค่ไฟโตนิวเทรียนต์เท่านั้น แต่ยังพกกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ รวมทั้งยับยั้งการขยายของเซลล์ผิดปกติที่อาจจะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (National Cancer Institute) ยังบอกเพิ่มเติมด้วยว่า สารเอลลาจิกในทับทิม สามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ อยากจะกินทับทิมกันแล้วใช่ไหมจ๊ะ
 

2. มะขามป้อม
            
          จากข้อมูลของมูลนิธิหมอชาวบ้าน เราก็พบว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้อีกชนิดที่มีกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีวิตามินสูงมาก จนเกือบจะเป็นราชาผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีเลยทีเดียวล่ะ แถมยังพ่วงกรดฟิลเลมลิก (Phyllemblic Acid) และสารฟีนอล (Phenols) มาเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งก็หมายความว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งกับเขาได้เหมือนกันนั่นเองค่ะ
 
มันเทศ

3. มันเทศ (Sweet Potato)
            
          ในที่นี้อาจจะรวมไปถึงมันฝรั่งพันธุ์ต่าง ๆ ด้วยนะคะ ที่ศูนย์มันฝรั่งระหว่างประเทศ (The International Potato Center : CIP) เขายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า มันฝรั่งเกือบทุกชนิดมีคุณสัมบัติป้องกันมะเร็งได้ 

          โดยอธิบายว่า มันฝรั่งอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, วิตามินเอ, วิตามินซี, ไรโบฟลาวิน (วิตามินบีชนิดหนึ่ง), กรดโพลีฟีนอล แอนตี้ออกซิแดนท์ คาเฟอิก (Polyphenol Anti-oxidants Caffeic Acid) และกรดคาเฟโออิวควินิก (Caffeoylquinic Acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมทั้งลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม
 

4. มะละกอ

          ผลมะละกอดิบมีวิตามินเอ และสารเบต้าเคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและช่วยต้านโรคมะเร็ง อีกทั้งยังมีวิตามินซี, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, และเหล็กซึ่งช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟันและใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์พาเพน ซึ่งสามารถนำมาเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อย รวมทั้งช่วยกระตุ้นน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดอีกด้วย

          แต่ที่น่าสนใจก็คือ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริด้า ได้ทำการศึกษาและพบว่า คุณประโยชน์เหล่านี้ในผลมะละกอไม่ว่าจะดิบ หรือสุก สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือเซลล์ผิดปกติที่ทำท่าว่าจะเป็นเซลล์ก่อมะเร็ง ที่สำคัญยังเจ๋งขนาดป้องกันได้ทั้งมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งเต้านม, มะเร็งตับ และมะเร็งตับอ่อนเลยทีเดียวนะจ๊ะ
 

5. แก้วมังกร

          ผลไม้ไทย ๆ อย่างแก้วมังกร มีสารต้านมะเร็งกับเขาด้วย แต่ทั้งนี้ผลการศึกษาจากศูนย์วิจัยสารต้านอนุมูลอิสระก็แนะนำว่า สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรสีสด ๆ มีศักยภาพในการป้องกันมะเร็งดีกว่าการรับประทานผลสดซะอย่างนั้น แต่อย่างไรก็แล้วแต่ การรับประทานแก้วมังกรเป็นประจำก็สามารถป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายเราได้เป็นอย่างดีอยู่แล้วเนอะ

 
มังคุด


6. มังคุด
            
          มังคุดเป็นผลไม้สัญชาติไทยแท้ที่หากินได้ง่ายในบ้านเรา ซึ่งผลการวิจัยโดย Current Molecular Medicine ก็บอกข่าวดีกับเราว่า ในมังคุดมีสารต้านเซลล์มะเร็งที่น่าสนใจนั่นก็คือ สารที่เรียกว่า แซนโทน (XANTHONE) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถซ่อมแซมเซลล์ส่วนมี่ถูกทำลายโดยปัจจัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จึงถูกยอมรับว่าเป็นสารที่ช่วยต้านเซลล์มะเร็งตัวจี๊ดที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว ทั้งนี้นอกจากกินผลสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำเปลือกมังคุดไปทำเป็นไวน์ไว้ดื่มได้อีกอย่างหนึ่งด้วยนะคะ
 

7. องุ่น
            
          มหาวิทยาลัยเวย์นสเตต (Wayne State University) ทำการศึกษาคุณสมบัติขององุ่นกับการต้านมะเร็งและพบว่า จากหลักฐานที่ทดลองกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน สามารถพิสูจน์ได้ว่า วิตามินและสารอาหารที่พบในองุ่นทุกชนิด มีผลโดยตรงในการป้องกันโรคมะเร็ง อีกทั้งองุ่นยังมีสารอาหารที่สำคัญที่ดีคือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ เช่น น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโครส วิตามินซี เหล็กและแคลเซียม มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ และช่วยฟื้นกำลังคนที่ร่างกายผอมแห้ง แก่ก่อนวัยและไม่มีเรี่ยวแรงด้วยนะคะ
 

8. ส้ม และผลไม้ตระกูลส้มทุกชนิด

          นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยกรดวิตามินซีแล้ว ในผลไม้จำพวกส้มยังมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง โดยเฉพาะป้องกันมะเร็งเต้านม โดยข้อมูลทั้งหมดผ่านการรับรองและยืนยันความน่าเชื่อถือจากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม (Texas A&M University) แล้วด้วยนะจ๊ะ

 
แอปเปิล

 
9. แอปเปิล
            
          สถาบัน Advances in Nutrition ได้ทำการวิจัยและพบว่า แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ในเรื่องของการลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง อีกทั้งยังป้องกันโรคมะเร็งได้ตั้งแต่สาเหตุของโรคเลยทีเดียว เนื่องจากสารฟลาโวนอยด์ในปริมาณที่สูงมากของเปลือกแอปเปิล สามารถล้างพิษออกจากร่างกาย และช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ได้นั่นเอง
 
 
10. สตรอว์เบอร์รี
            
          ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) หรือสารพฤษเคมี บวกกับวิตามินซี และแร่ธาตุดี ๆ อีกหลายชนิดในสตรอว์เบอร์รี ก็เป็นส่วนสำคัญในการต้านเซลล์มะเร็ง และมีสรรพคุณบำบัดโรค โดยเฉพาะป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของคุณผู้หญิง การันตีโดยผลวิจัยที่เว็บไซต์ Exan Health ได้นำมาเผยแพร่จ้า
 

11. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
            
          จริง ๆ แล้วผลไม้ตระกูลเบอร์รีทุกชนิดมีสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้เกือบทั้งหมด แต่ดอกเตอร์แกรี่ ดี สโตเนอร์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ (The Ohio State University College of Medicine) ชี้แจงว่า ในผลแบล็กเบอร์รีจะมีคุณสมบัติต้านมะเร็งที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เนื่องจากมีสารพฤษเคมีจำพวกแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สูง ซึ่งช่วยชะลอการเกิดเซลล์มะเร็ง แถมยังสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้อีกต่างหาก
 

12. เลมอน
            
          นักวิจัยจากประเทศออสเตรเลียเผยว่า วิตามินซี และกรดหลากชนิดในผลเลมอน สามารถป้องกันมะเร็งช่องปาก, มะเร็งลำคอ และมะเร็งในช่องท้องได้ หากดื่มน้ำเลมอนคั้นสดวันละ 1 แก้วกาแฟเป็นประจำทุกวัน และแม้ว่าเลมอนจะไม่ใช่ผลไม้สัญชาติไทยแท้ แต่เลมอนก็ไม่ใช่ผลไม้ที่หายากในบ้านเราซะทีเดียวนะคะ
 
กีวี

13. กีวี
            
          วารสาร Ethnopharmacology เผยว่า ผลไม้ที่อัดแน่นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ, วิตามินซี, วิตามินอี, ลูเตียน (Lutein) และสังกะสีชนิดนี้ มีประสิทธิภาพมากพอจะต้านเซลล์มะเร็งได้อยู่หมัด เพียงแค่กินกีวีสดวันละครึ่งลูกก็เท่ากับกินยาต้านมะเร็งเกรดพรีเมียมเข้าไปแล้วล่ะจ้า
 
 
14. อะโวคาโด
            
          จากการศึกษาของวารสาร Experimental Therapeutics & Oncology พบว่า สารพฤษเคมีในผลอะโวคาโดมีส่วนช่วยป้องกันความผิดปกติที่เกิดจากเซลล์ ปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ได้เกิดเนื้อร้าย กำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว รวมทั้งยับยั้งการเจิญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ และกำลังจะเติบโตเป็นเนื้อร้ายได้อีกด้วย
 
มะเขือเทศ

15. มะเขือเทศ
            
          มะเขือเทศอาจจะก้ำกึ่งระหว่างผักและผลไม้ แต่ประเด็นนั้นไม่น่าสนใจเท่ากับผลวิจัยที่สถาบันวิจัยโรคมะเร็งอเมริกา (American Institute for Cancer Research-AICR) เขาพบว่า มะเขือเทศมีคุณสัมบัติป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก รวมไปถึงมะเร็งปอด, มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ชะงัด 

          เนื่องจากในมะเขือเทศลูกสีแดงแจ๊ดอุดมไปด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกกันว่า ตระกูลสารสีแดง และสารพฤกษเคมี รวมไปถึงวิตามิน และเกลือแร่อีกหลายชนิด ที่ช่วยบำรุงเซลล์ในร่างกายให้ทำงานอย่างปกติ ซึ่งเมื่อไรที่มีเซลล์ใดเซลล์หนึ่งเกิดความผิดปกติขึ้น เจ้าสารบำรุงต่าง ๆ ก็จะเข้าไปจัดการไม่ให้เซลล์ร้ายเจริญเติบโตลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ในร่างกายเรานั่นเอง